PLUS SIZE หรือผู้มีน้ำหนักตัวมากและอยากสร้างจุดเปลี่ยนให้ตัวเองเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นกว่าเดิมสามารถเลือกใช้รูปแบบการออกกำลังด้วยการวิ่งได้ไม่ต้องห้าม แต่การวิ่งสำหรับผู้มีน้ำหนักตัวมากต้องเรียนรู้ข้อจำกัด เรื่องต้องห้ามบางประการถึงจะสามารถใช้กีฬาวิ่งสร้างสุขอนามัยที่ดีต่อร่างกายได้อย่างแท้จริง เพียงเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใจร้อน ไม่เร่งหวังผลให้น้ำหนักหรือรูปร่างลดลงอย่างรวดเร็วและยอมรับกับความยากที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเริ่มต้นลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเท่านั้น ความสำเร็จสุขภาพที่ดีเกิดขึ้นได้แน่นอน
หลักพื้นฐานการวิ่งสำหรับผู้มีนำหนักตัวมาก ทำอย่างไรให้ปลอดภัย
สำหรับคนที่มีน้ำหนักมากหรือพลัสไซซ์หากมองภาพรวมแล้วจะมีหลักในการออกกำลังกายด้วยกีฬาวิ่งที่ใกล้เคียงกับผู้สูงวัยคือการเลือกอุปกรณ์ที่ถูกต้องและมีทัศนคติในการวิ่งเพื่อการสร้างร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ห่างไกลต่อโรคและสร้างความสมดุลทางอารมณ์ให้ดีขึ้น การวิ่งของบุคคลทั้งสองประเภทนี้จะไม่เน้นความเร็ว ไม่เน้นการสปีดหรือเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว แนะนำให้วิ่งช้า ๆ แต่ชัวร์และปลอดภัยดีที่สุด
หลักพื้นฐานประการแรกคือการเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมเริ่มต้นที่เสื้อผ้าหรือชุดที่ใช้ในการวิ่งแนะนำให้ใช้เสื้อผ้าแบบใดก็ได้ที่ไม่รุ่มร่ามเน้นการสวมใส่แล้วเกิดความคล่องตัวไม่รัด ระบายความร้อน เหงื่อได้ดี อุ้มน้ำน้อยแห้งไว้เพื่อไม่ให้ผู้วิ่งรับน้ำหนักมากขึ้น ประการต่อมาคือการเลือกรองเท้าในการสวมใส่แนะนำให้ใช้รองเท้าแบบเดียวกับรองเท้าพละของนักเรียนหรือที่เรียกในวงการกีฬาว่ารองเท้าจ๊อกกิ้ง JOGGING ไม่แนะนำให้ใช้รองเท้า RUNNING นอกจากราคาแพงกว่าแล้วยังไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์มากกว่าเดิมแต่อย่างใดอีกด้วย
วิธีการวิ่งของผู้มีน้ำหนักเกิน รูปร่างใหญ่ให้ปลอดภัยสุขภาพดี
สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักมากรูปร่างใหญ่รูปแบบการวิ่งเพื่อออกกำลังกายให้เริ่มต้นจากการปรับสภาพร่างกายและสร้างความเคยชินของกล้ามเนื้อเสียก่อนด้วยการเดินต่อเนื่องทุกวันอย่างน้อย 15 วัน ใช้เวลาวันละ 20-40 นาทีและทุกครั้งก่อนการออกเดินให้ทำการวอร์มอัพร่างกายทุกครั้ง ในช่วง 7 วันแรกผู้ออกกำลังกายจะมีอาการปวดเมื่อยอยู่บ้างไม่ต้องกังวลเพราะเป็นเรื่องปกติและเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้ผู้ออกกำลังรู้ว่ากล้ามเนื้อในการร่างกายมีการตอบสนองและเริ่มรับรู้ความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
หลังจากร่างกายคุ้นชินกับการเดินแล้ว อาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อลดลงหรือเท่ากับศูนย์แล้ว ให้ผู้ออกกำลังกายเพิ่มความเร็วในการเดินเป็นช่วง ๆ ครั้งละ 5-10 นาทีสลับด้วยการเดินเรื่อย ๆ ให้หยุดเดินเร็วทุกครั้งที่หายใจไม่ทัน หอบเหนื่อย หลังจากนั้นประมาณ 7-10 วันอาการหายใจไม่ทัน หอบเหนื่อยจะลดลง ให้ผู้ออกกำลังเพิ่มเวลาในการเดินเร็วมากขึ้นทำเช่นนี้ไปอีก 15 วันต่อเนื่องจนระบบการหายใจ กล้ามเนื้อเข้าที่ 100% ถึงเริ่มวิ่งแทนการเดินเร็วสลับการกับการเดินธรรมดา โดยการวิ่งให้ผู้วิ่งใช้ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นเต็มเท้าไม่ลงน้ำหนักที่ส้นเท้าหรือปลายเท้าในลักษณะจิกพื้นโดยเด็ดขาด
เทคนิคการวางท่าและการกำหนดลมหายใจเมื่อพลัสไซซ์ต้องการวิ่ง
การกำหนดท่าทางในการวิ่งก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย นอกจากช่วยให้ร่างกายไม่ได้รับการบาดเจ็บเสี่ยงอันตรายแล้วยังช่วยให้ประสิทธิภาพในการวิ่ง การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายดีขึ้นอีกด้วย การวิ่งที่ดีผู้วิ่งควรกำหนดท่าทางดังนี้
- ศีรษะและลำตัวของผู้วิ่งต้องตั้งตรงเป็นแนวเดียวกัน ไม่โน้นตัวไปข้างหน้าหรือเท้าอยู่ด้านหน้า
- ลำตัวตั้งตรงปล่อยไหล่ตามสบายไม่เกร็งหรือยกขึ้นและต้องไม่งอข้อเท้า ลงเท้าเต็มสัมผัสพื้น ไม่งอเข่า
- กำมือหลวม ๆ ระหว่างการวิ่ง มือและแขนต้องสัมพันธ์กันช่วยในการรักษาสมดุลการวิ่งได้
- ลงน้ำหนักที่ปลายเท้าคล้ายการเดินกระทืบเท้าจะดีที่สุด ช่วยให้เข่าและเท้ารับน้ำหนักอย่างพอดี
สรุปการวิ่งสำหรับผู้มีน้ำหนักมากไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
การวิ่งเพื่อสุขภาพให้กีฬาเป็นทางเลือก นอกจากประหยัดและสามารถออกกำลังได้โดยไม่ต้องเปลืองเงินแล้วยังสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการอีกด้วย ไม่ว่าผู้ออกกำลังจะตัวเล็กตัวใหญ่ น้ำหนักมากน้ำหนักน้อย หรือวัยใดเพียงเรียนรู้วิธีวิ่งอยากถูกวิธีก็สามารถใช้กีฬาวิ่งสร้างสมรรถภาพทางกายดีต่อสุขภาพกายสุขภาพใจได้เหมือนกันทุกคน